ร่างกายของเรานั้น เกิดจากการเรียงตัวของอะตอม จำนวนมหาศาล
ซึ่งเป็นอะตอมของธาตุชนิดต่าง ๆ เช่น คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ฯลฯ. มีสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไป คือมี oxygen (65 % carbon (18.5 % hydrogen (9.5 % nitrogen (3.3 %ที่เหลือเป็นธาตุอื่น ๆ เช่น แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ทองคำ เซเลเนี่ยม ฯลฯ. อีกประมาณ 3.5% รวมเป็น 100%
ซึ่งส่วนประกอบของอะตอมนั้น ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า มีส่วนประกอบที่เป็นพื้นฐานของสสารที่มนุษย์รู้จัก คือโปรตอน นิวตรอน และอิเลคตรอน เพียง 4.6% และส่วนที่เหลือคือ สสารมืด 24% และพลังงานมืด 71.4% ดังนั้น ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของอะตอมนั้น ยังไม่เป็นที่รู้จักของมนุษย์นั่นเอง
แต่ละอะตอมของธาตุทุกชนิดนั้น แม้เราจะไม่รู้จักองค์ประกอบทั้งหมดของมันก็ตาม แต่ว่าจะมีสิ่งที่เรียกว่าสามัญลักษณะที่เหมือนกัน 3 ประการ ซึ่งเป็นลักษณะที่เหมือนกันของทุกอะตอม เราสมมุติชื่อเรียกลักษณะร่วมกันของอะตอมนั้นว่า ตรีธาตุ หรือ ตรีธาตุสมุฎฐาน หรือในแพทย์แผนไทยอาจเรียกว่า “กองสมุฎฐาน” ซึ่ง หมายถึงลักษณะ 3 อย่างของธาตุ คือ ปิตตะ หมายถึง ความร้อน วาตะ หมายถึง การเคลื่อนที่ และเสมหะ หมายถึง แรงยึดเหนี่ยว ที่ทำให้แต่ละอะตอมคงสภาพเป็นกลุ่มก้อน
นี่คือภาพถ่ายของอะตอม ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้กล้องขยาย 100 ล้านเท่า เราจะเห็นสีแดง หมายถึงพลังงานหรือความร้อน หมายถึงปิตตะ มีลักษะเคลื่อนที่ หมายถึงวาตะ และมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อน หมายถึงเสมหะ
จึงอาจกล่าวได้ว่า ร่างกายของเราเป็นระบบใหญ่ ของการเรียงตัวของอะตอม และเป็นระบบใหญ่ที่มีสามัญลักษณะ คือ ปิตตะ วาตะ และเสมหะ
ผลจากการเรียงตัวของอะตอมที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดลักษณะของสิ่งที่เป็นผลจากการเรียงตัวของอะตอมขึ้นมา เกิดเป็น “สภาวะ” ต่าง ๆ ที่สมมุติชื่อแตกต่างกัน เรียกรวม ๆ ว่า “มหาภูตรูป” คือธาตุ 4 ที่หมายถึง ธาตุดิน น้ำ ลม และไฟ
ดุลยภาพที่สมดุลย์ของตรีธาตุ คือปิตตะ วาตะ และเสมหะ นั้น เราสมมุติเรียกชื่อว่า “ปกติ” คือความเป็นธรรมดา
แต่หากดุลยภาพนั้นเสียไป จะส่งผลให้มหาภูตรูปคือธาตุ 4 นั้นแปรปรวน ผลคือ ทำให้ร่างกายเจ็บป่วย หรือผิดปกติไป
หรือก็คืออาการที่แสดงออกถึงความแปรปรวนของมหาภูตรูป 4 ที่เป็นผลมาจากการสูญเสียดุลยภาพของตรีธาตุ คือ ปิตตะ วาตะ และเสมหะนั่นเอง
ทฤษฎีเวชศาสตร์สมุฎฐาน เป็นทฤษฎีการแพทย์ที่มีพื้นฐานจากทฤษฎีการแพทย์แผนไทยและการใช้สมุนไพร ผสมผสานกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยในยุคปัจจุบัน
หัวใจของทฤษฏีการแพทย์แผนไทย ปรากฏใน พระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัย ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ 5 ความว่า
ซึ่งกองสมุฏฐานนั้น ก็หมายถึง “ตรีธาตุ” นั่นเอง จากหัวใจของทฤษฏีการแพทย์แผนไทยดังกล่าว ได้นำมาสู่ “กุญแจ 3 ดอก” และ “บันได 8 ขั้น” ซึ่งเป็นแก่นของทฤษฏีเวชศาสตร์สมุฎฐาน ที่จะนำพาร่างกายไปสู่ภาวะ “ปกติ” แห่งสุขภาพ
กุญแจดอกที่ 1 Microbiome คือระบบจุลินทรีย์ในร่างกาย โดยเฉพาะในลำใส้ของเรา งานวิจัยในปัจจุบันนั้น พบว่าระบบของจุลินทรีย์ในลำใส้นั้น ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น กระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการอักเสบ ระบบฮอร์โมนและต่อมไร้ท่อ ระบบการเผาผลาญและสร้างพลังงาน ระบบของการกลายพันธ์และมะเร็ง เป็นต้น
ในทฤษฏีการแพทย์แผนไทยเอง ได้กล่าวความถึงความสำคัญของไมโครไบโอม หรือคูถเสมหะไว้ดังนี้
นอกจากนั้นงานวิจัยจำนวนมากในปัจจุบันก็ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของระบบไมโครไบโอม หรือระบบนิเวศน์จุลินทรีย์ลำใส้ต่อสุขภาพ
กุญแจดอกที่ 2 Inflammation คือระบบภูมิคุ้มกันและการอักเสบ การวิจัยพบว่า การอักเสบนั้นเองเป็นสาเหตุของโรคร้ายเกือบทุกโรค เช่น เบาหวาน ความดัน หลอดเลือด หัวใจ โรคตับ โรคไต โรคสมองเสื่อม โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง โรคภูมิแพ้ หอบหืด โรคริดสีดวงทวาร หรือแม้กระทั่ง มะเร็ง
กุญแจดอกที่ 3 Autophagy คือระบบการกินตัวเองของเซลล์ร่างกาย เป็นกระบวนการภายในเซลล์ ที่จะทำลายโดยการย่อยสลายส่วนประกอบของเซลล์หรือออร์แกเนลล์ที่เสียหายและโปรตีนส่วนเกิน ซึ่งหากสะสมไว้จะเกิดความเป็นพิษและทำให้เซลล์ผิดปกติ แล้วรีไซเคิลนำไปใช้ใหม่ เพื่อรักษาสมดุลของเซลล์ให้เป็นปกติ
1. การใช้สมุนไพรที่ถูกต้อง ปลอดภัย และเหมาะสมในการบรรลุเป้าหมายแต่ละขั้นของบันไต
2. การปรับวิถีชีวิตในด้านสุชภาพ ทั้งด้านอาหาร การออกกำลังกาย น้ำดื่ม การจัดการความเครียด การฝึกสมาธิภาวนา การพักผ่อนนอนหลับ การตากแดด การอดอาหารเป็นช่วง ๆ ในหนึ่งวัน รวมทั้งการงดเว้นสิ่งที่เป็นโทษต่อสุขภาพ เช่น บุหรี่ เหล้า ยาเสพติด น้ำตาล ผงชูรส อาหารแปรรูปต่าง ๆ เนื้อแดง น้ำปราศจากแร่ธาตุ เป็นต้น
50% คือผลจากสมุนไพร และ 50% คือผลจากการปรับวิถีชีวิต
ทั้งนี้ “ระเบียบวินัย” ในการปฏิบัติตัวทั้งการรับประทานยาตามเวลาที่แพทย์สั่ง และการปรับวิถีชีวิตต้องเป็นไปอย่างมีวินัยในตัวเอง เพื่อให้ผลในการรักษาที่ดีตามที่แพทย์และผู้ป่วยมุ่งหวัง
ดังนั้น ทฤษฎีการแพทย์สุวรรณภูมิจึงเป็นทฤษฎีการแพทย์แบบองค์รวม
ที่มีเป้าหมายของความสมดุลย์ของร่างกาย จิตใจ เป็นปกติสภาวะ ที่ไม่มีโรคหรือการเจ็บป่วย จึงเป็นทั้งวิถีชีวิต การดูแลปกป้องร่างกายไม่ให้เจ็บป่วย รวมทั้งการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยให้กลับมามีร่างกายที่มีความเป็นปกตินั่นเอง