การศึกษาวิจัยจำนวนมากในยุคปัจจุบันนั้น พบว่ามะเร็งทุกชนิดไม่ได้โตเร็วเสมอไป
มีมะเร็งบางชนิดเพียงร้อยละ 20 ถึง 30% เท่านั้นที่โตเร็ว จนสามารถทำให้คนไข้เป็นอันตรายลุกลามแพร่กระจายจนถึงแก่ชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่มะเร็งส่วนที่เหลือนั้นโตช้ากว่า หรือโตช้าจนกระทั่งไม่สามารถจะ ทำให้ร่างกายมีอาการหรือผิดปกติ ไปจนตลอดชั่วอายุขัย คือไม่ได้เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง
หลักฐานการชันสูตรพลิกศพ ผู้ชายที่เสียชีวิต หลายร้อยคนในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า กว่าร้อยละ 60 ของผู้เสียชีวิตมีมะเร็งต่อมลูกหมากในร่างกาย แต่ไม่ได้เสียชีวิตเพราะโรคมะเร็งแต่อย่างใด (Chen, Z., Zhang, P., Xu, Y. et al. Surgical stress and cancer progression: the twisted tango. Mol Cancer 18, 132 (2019). https://doi.org/10.1186/s12943-019-1058-3)
เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการมีอยู่ของมะเร็งในร่างกายในลักษณะที่ไม่เติบโตจนเป็นอันตราย
แต่ในขณะที่ผู้ป่วยมะเร็งทุกรายจะได้รับการรักษาในรูปแบบเดียวกัน ไม่ว่ามะเร็งจะโตช้า หรือเติบโตเร็วก็ตาม ซึ่งทำให้ผู้ป่วยส่วนมาก ได้รับผลข้างเคียงจากการบำบัดรักษาโดยไม่จำเป็น
War on cancer ของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกซัน Richard Nixon เมื่อปี 1971 ทำให้เราได้ค้นพบว่าแม้เราจะทำการรักษามะเร็งในลักษณะของการทำสงคราม โดยมุมมองที่มองมะเร็งเป็นผู้บุกรุก เป็นสิ่งแปลกปลอมที่ทำลายร่างกาย จึงมีการพยายามกำจัดเซลล์มะเร็งให้สิ้นซากไปจากร่างกาย ไม่ว่าจะด้วยการศัลยกรรม ผ่าตัด เคมีบำบัด ยามุ่งเป้า รังสีบำบัดหรือภูมิคุ้มกันที่เฉพาะเจาะจงต่อเป้าหมายของเซลล์มะเร็งแต่ละชนิดที่ดีที่สุดก็ตาม แต่สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้น ยังคงเป็นอัตราการตายที่สูงและผลข้างเคียงจากการบำบัดรักษาที่ยอมรับไม่ได้
การรักษามะเร็งแบบการทำสงคราม War On Cancer ที่ทำสงครามบนสนามรบ คือ “ร่างกาย” ของเรานั้น อาจไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องเสียแล้ว
เราได้สูญเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมาก ผู้คนมากมายที่ต้องเผชิญกับความทนทุกข์ทรมานจากผลข้างเคียงของการบำบัดรักษาในรูปแบบต่าง ๆ ความพิการ บกพร่องทางระบบประสาท กล้ามเนื้อ สมอง และระบบทางร่างกายที่เป็นผลมาจากการใช้ร่างกายเป็น “สนามรบ” ของการบำบัดรักษามะเร็ง
ที่สำคัญ คืออัตราการเป็นซ้ำ และการแพร่กระจายของมะเร็งหลังการรักษา เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้และมีอัตราที่สูงหลังการบำบัด
ค่าใช้จ่ายมหาศาลของภาครัฐ และตัวผู้ป่วยที่ต้องรับภาระจากการรักษา เป็นอีกสิ่งที่ทุกประเทศกำลังวิตกกังวลถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจสำหรับการบำบัดรักษามะเร็ง
การรักษามะเร็งเท่าที่ผ่านมา ในรอบ 50 ปี หลังจากการประกาศสงคราม ถึงวันนี้เริ่มรู้สึกว่าเรากำลังเข้าใจผิด ถึงยุทธศาสตร์การบำบัดมะเร็งที่แท้จริงหรือไม่?
“หรือ เรากำลังหลงทาง?”
การวิจัยในสัตว์ทดลอง ได้พบว่า หลังจากผ่าตัดเอาเนื้องอกหลักออกจากร่างกายของสัตว์ทดลองจะเกิดการกระจายของ Cancer Stem Cells และเซลล์มะเร็งที่หมุนเวียนในร่างกายไปตามอวัยวะต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น ในระดับสูงขึ้นถึง 100% หลังการผ่าตัด (Pang,2021). https://doi.org/10.1038/s41598-021-92876-8X และไปฝังตัวอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ปอด ตับ ไต สมอง และเนื้อเยื่ออื่น ๆ ทำให้เกิดกระบวนการเป็นซ้ำของมะเร็ง และการแพร่กระจายหลังผ่าตัด ซึ่งก็ยืนยันผลด้วยการวิจัยทางคลินิกจำนวนมาก
สัตว์ที่มีเนื้องอกปฐมภูมิ จะดื้อต่อการปลูกถ่ายเซลล์เนื้องอกที่เหมือนกัน ในขนาดที่สูงกว่าปริมาณที่ต้องใช้ในการสร้างเนื้องงอกปฐมภูมิถึง 100,000 เท่า ในขณะที่การกำจัดเนื้องอกอย่างรวดเร็วจะส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของเนื้อร้าย [Gershon,1968]
ในสัตว์ที่มีเนื้องอกหลายก้อน ยิ่งมีเนื้องอกต่อหนูมากเท่าไร อัตราการเติบโตเฉลี่ยของเนื้องอกในระยะแรกก็จะช้าลง [Cheshire,1970]
มนุษย์ยังคงไม่เข้าใจถึงกระบวนการของ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อการผ่าตัดเนื้องอกออกเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ส่งผลให้เกิดอัตราการเป็นซ้ำของมะเร็งที่สูงถึงกว่าร้อยละ 20 จนถึง 100% ในมะเร็งบางชนิด เช่น เนื้องอกในสมองชนิด Glioblastoma 85% ในมะเร็งรังไข่ 50% ในมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และ 36% ถึง 46% ในมะเร็งตับอ่อน อัตราการเป็นซ้ำที่สูงเหล่านี้เกิดขึ้นหลังการผ่าตัดแม้จะมีการใช้เคมีบำบัดร่วมด้วยก็ตาม
การศึกษาในสัตว์ทดลองยังพบอีกว่า เนื้องอกที่มีการปลูกถ่ายเข้าในเต้านมของสัตว์ทดลอง ส่วนใหญ่แล้วตามปกติมันจะอยู่เฉยๆ หมายถึงไม่มีการแพร่กระจายและไม่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นอกเสียจากมีการกระทำบางอย่างที่ไปกระตุ้นมันเช่นการผ่าตัด หรือการใช้ยาเคมีในการบำบัด
รังสีบำบัดและเคมีบำบัดก็เช่นเดียวกันได้ส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ในเซลล์มะเร็งที่รอดชีวิตซึ่งเราจำเป็นต้องยอมรับความจริงที่ว่า ไม่มีมีวิธีใดที่กำจัดเซลล์มะเร็งในร่างกายให้หมดไปจากร่างกายได้ 100% โดยเด็ดขาด
เซลล์มะเร็งที่เหลือรอดจาก การบำบัดรักษาอาจจะกลายพันธุ์ดุร้ายก้าวร้าวรุนแรงขยายตัวเร็วและแพร่กระจาย ได้มากขึ้น เป็นความจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ในขณะที่ประชากรสูงอายุกำลังเพิ่มสูงขึ้นและขยายตัวในทุกประเทศ ทำให้อัตราการป่วยด้วยโรคมะเร็งสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการบำบัดรักษาด้วยวิธีการเดิมๆเท่าที่ผ่านมา กับคนไข้ที่เปราะบางจากอายุที่เพิ่มขึ้นนี้จะสามารถในการทนทานต่อการรักษาแบบทำลายล้างและสงครามรุนแรงเหล่านั้น ได้เพียงใด และผลข้างเคียงเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตและสุขภาพหลังจากการรักษาเป็นอย่างไร เป็นคำถามที่ผู้รับการรักษาและแพทย์ผู้ทำการบำบัดต้องตอบด้วยตนเองอย่างตรงตามความเป็นจริงตามหลักฐานและข้อมูลในอดีตที่เกิดขึ้น โดยไม่ใช้ความคาดหวังหรือมโนคติของตนเองเป็นเกณฑ์เพียงเท่านั้น
จริงๆแล้วงานวิจัยยังพบว่าการมีก้อนเนื้อมะเร็งนั้นมีประโยชน์ต่อการรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งที่จะออกไปตามอวัยวะต่างๆเป็นการรักษาสภาวะสมดุลระหว่าง host-tumor immunity นั่นเอง
การศึกษาถึงกลไกในเชิงลึกของสมุนไพรในการยับยั้งเนื้องอกและทำให้เซลล์มะเร็งตายตามธรรมชาติ แบบ apoptosis และ non apoptosis นั้น ทำให้เราได้เข้าใจบริบท ของการใช้ยาสมุนไพร ในการรักษาโรคมะเร็ง
ในรูปภูเขาไฟนั้น จะเห็นว่าการบำบัดรักษามะเร็งโดยทั่วไป ที่มีการกำจัดก้อนเนื้อด้วยวิธีการผ่าตัด รังสีบำบัด เคมีบำบัด หรือยามุ่งเป้า แม้กระทั่งภูมิคุ้มกันบำบัดนั้น เป็นการรักษาเพื่อกำจัดในส่วนของภูเขาไฟส่วนที่พ้นน้ำ หรือปลายเหตุ หากแต่รากฐานของการเจ็บป่วยคือสิ่งที่อยู่ใต้น้ำและใต้ดินนั้น ยังคงไม่ได้รับการบำบัดและก่อให้เกิดปัญหาอย่างต่อเนื่อง และโรคก็ยังคงดำเนินต่อไป ทำให้เกิดปัญหาของการเป็นซ้ำ และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งกลับมาในอัตราที่สูง
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจถึงธรรมชาติของมะเร็งหรือเนื้องอกก่อน การศึกษาวิจัยนั้นพบว่ามะเร็งทุกชนิดไม่ได้โตเร็วเสมอไป
มีมะเร็งบางชนิดเพียงร้อยละ 20- 30% เท่านั้นที่โตเร็ว จนสามารถทำให้คนไข้เป็นอันตรายลุกลามแพร่กระจายจนถึงแก่ชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่มะเร็งส่วนที่เหลือนั้นโตช้ากว่า หรือโตช้าจนกระทั่งไม่สามารถจะ ทำให้ร่างกายมีอาการหรือผิดปกติ ไปจนตลอดชั่วอายุขัย คือไม่ได้เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง นั่นหมายถึงว่า ถ้าเราสามารถจัดการกับมะเร็ง ให้มะเร็งหยุดการเจริญเติบโต หรือค่อย ๆ ตายไปเองตามวัฎจักรเซลล์ตามธรรมชาติ เราก็จะไม่เจ็บป่วย ถูกทำร้ายหรือเสียชีวิตจากการเป็นมะเร็ง
T-WRAPTเป็นเทคโนโลยีชีวภาพในรูปแบบขององค์รวม ในการปิดกั้นและห่อหุ้มเซลล์มะเร็งหรือเนื้องอกไว้ภายใน เพื่อยับยั้งปัจจัยการเจริญเติบโตที่ส่งเสริมเซลล์มะเร็ง ส่งผลให้เซลล์มะเร็งที่ถูกห่อหุ้มไว้ชะงักการเจริญเติบโต และค่อย ๆ ตายลงตามวัฏจักรของเซลล์ที่คล้ายกับเซลล์ปกติ
การรักษามะเร็งในรูปแบบใหม่นี้ถือเป็นความหวังของการรักษามะเร็งของมนุษยชาติ เพราะไม่ใช่รักษามะเร็งในรูปแบบของการทำสงคราม โดยมีร่างกายของผู้ป่วยเป็นสนามรบ ซึ่งทำให้สนามรบนั้นถูกทำลายอย่างกว้างขวางทั้งเซลล์มะเร็งและเซลล์ปกติก็ถูกทำลาย และมีผลข้างเคียงกระทบไปพร้อมๆกัน ส่งผลถึงคุณภาพชีวิตและสุขภาพของผู้ป่วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แนวทางการรักษามะเร็งของดร.ภัทร์ นั้นประกอบด้วยองค์ประกอบที่เป็นความสมดุลย์ของระบบร่างกายทั้งระบบในรูปแบบขององค์รวม Holistics เช่น ระบบการอักเสบ ระบบนิเวศน์จุลินทรีย์ลำใส้ ระบบภูมิคุ้มกันระหว่าง host และก้อนเนื้องอก ระบบวัฎจักรของเซลล์ ระบบ Autophagy ด้วยกลไกที่หลากหลายและซับซ้อน อยู่บนพื้นฐานแห่งสมดุลย์ของธรรมชาติและชีวออกฤทธิ์ที่มีประสิทธภาพ
ส่งผลให้ร่างกายและการแสดงออกของยีน Gene Rrgulation กลับคืนสู่สภาวะสมดุลย์ในระบบองค์รวม
ความเปลี่ยนแปลงของยีนส์และโปรตีนในระดับเซลล์ นั้เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ไม่อาจแยกเป็นอิสระจากกันและกัน สิ่งที่เราต้องแสวงหา คือความสมดุลย์ในการแสดงออกของเซลล์ มิใช่การยับยั้งแค่ตัวใดตัวหนึ่งแล้วส่งผลกระทบต่อหลายตัว
คำอธิบายถึงกลไกในการรักษาสภาวะสมดุลย์ของการแสดงออกของยีนที่ถูกต้องจากผลของการใช้สมุนไพรนั้น เป็นคำอธิบายที่สอดคล้องกับวิถีแห่งธรรมชาติและความสมดุลที่เราเคยพูดกันมานับร้อยปี แต่การวิจัยทำให้เราได้เข้าใจถึงบริบทโดยรวม และกระบวนการสร้างความสมดุลที่แท้จริงของธรรมชาติในร่างกายมนุษย์จากสมุนไพร
ยามุ่งเป้า ยาภูมิคุ้มกันบำบัด หรือยาเคมีกลไกเดี่ยวทั้งหลาย เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์จะทำการยับยั้งเพียงกลไกการทำงานเดียว หรือยับยั้งยีนตัวเดียว แต่การยับยั้งยีนตัวเดียวนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กระทบกระเทือนถึงความสมดุลย์ของยีนอีกนับแสนตัว ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์และเกี่ยวข้องเชื่อมโยงซึ่งกันและกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้เกิดผลข้างเคียงซึ่งคาดไม่ถึงและไม่สามารถเข้าใจได้ชัดเจน ซึ่งมนุษย์นั้นไม่มีทางที่จะเข้าถึงและทำในสิ่งที่ธรรมชาติหรือสมุนไพรทำได้ แม้จะผ่านไปอีกนับร้อยนับพันปีก็ตาม เพราะมันซับซ้อนและส่งผลกระทบซึ่งกันและกันอย่างมหาศาล อย่างที่ไม่อาจจะคาดคำนวณได้ด้วยความสามารถของการประมวลผลของคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมทางคณิตศาสตร์ใดๆ เพราะเหตุที่ว่า “เหนือกว่าวิทยาศาสตร์ คือธรรมชาติ”
ดร.ภัทร์ และทีมงาน ได้ทำงานวิจัยสมุนไพรตำรับเพื่อรักษามะเร็งอย่างเข้มข้น โดยตรวจสอบสารสำคัญ ความปลอดภัย และฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็ง ฤทธิ์ทางชีวเคมีต่าง ๆ เพื่อแสวงหากลไกและแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการรักษามะเร็ง
งานวิจัยก็ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร MEDICINA เมื่อวันที่ 27กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพของตำรับยาสมุนไพรในการยับยั้งมะเร็ง และกลไกการปรับสมดุลย์การแสดงออกของยีนส์แบบองค์รวม ซึ่งแตกต่างจากกลไกเดี่ยวของยาแผนปัจจุบัน ที่ไม่สามารถจะสร้างสมดุลย์ใดๆ
การบำบัดรักษาจะเริ่มต้นที่รากฐานของร่างกายคือระบบนิเวศน์ของ Microbiome หรือจุลินทรีย์นับร้อยล้านล้านตัวในลำไส้ใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน การตอบสนองต่อเนื้องอก และควบคุมยีนส์ต่างๆในร่างกายมนุษย์ไม่ให้ผิดปกติ การปรับสมดุลย์ Microbiome นั้นจะเริ่มจากการขับล้างสิ่งสกปรกและของเสียในลำไส้ (Detoxification) ซึ่งทางคลีนิคพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่จะมีอาการถ่ายดำ มีกลิ่นฉุนรุนแรงในช่วงแรกของการรักษาด้วยสมุนไพร สมุนไพรที่เป็นองค์รวมจะส่งเสริมสมดุลย์ของระบบนิเวศน์ Microbiome ด้วยการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้่อก่อโรค และกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อเสริมชีวนะ Probiotics ชนิดต่าง ๆ ทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างไม่ก่อโทษให้กับร่างกายมนุษย์
จะส่งผลให้เกิดการฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ระบบเม็ดเลือดขาวและเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดต่าง ๆ ทำงานเป็นปกติ ส่งผลให้เกิดกระบวนการลดการอักเสบที่เกิดขึ้นภายในเนื้อเยื่อของเซลล์มะเร็งและในร่างกาย
สารชีวออกฤทธิ์สมุนไพรของศูนย์มะเร็ง ดร.ภัทร์ จะมีกลไกหลากหลายอื่น ๆ ที่ช่วยในการยับยั้งมะเร็งแบบบูรณาการ เช่น
เช่น IL-1b, IL-6 ที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
เช่น reactive oxygen species - ROS และ ไนตริคออกไซด์ NO ซึ่งถูกผลิตจากเซลล์มะเร็งเป็นจำนวนมาก และเป็นปัจจัยการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ซึ่งผลการทดสอบเปรียบเทียบกับยามาตรฐาน Doxorubucin พบว่าสารสกัดสมุนไพรเคอร่า มีประสิทธิภาพในการทำให้เซลล์มะเร็งตายมากกว่ายาเคมีบำบัดมาตรฐาน Doxorubicin ถึง 425% ในขณะที่ความเข้มข้นต่ำกว่า และไม่เป็นพิษต่อเซลล์ปกติ
ซึ่งกลายพันธุ์ทำให้มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นในเซลล์มะเร็งจนทำให้เติบโตผิดปกติ เช่น EGFR, NF-kB, KRAS, MYC, HIVa, LONP1 เป็นต้น
เช่น WTP53, CDK1A, GSTO1, MXI1, NDRG1 ที่ทำหน้าที่ในการหยุดวัฎจักรเซลล์ เมื่อเซลล์มีการเจริญเติบโตเร็วผิดปกติ การซ่อมแซม DNA ที่ผิดปกติ รวมทั้งการส่งสัญญานเพื่อให้เซลล์มะเร็งตายแบบ Apoptosis เมื่อเซลล์เติบโตเร็วเกินกว่าที่จะควบคุมได้
ซึ่งตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญของการตอบคำถามที่ว่า ทำไมต้องใช้ยาสมุนไพรแบบองค์รวมในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคที่มีความผิดปกติในด้านการแสดงออกของยีนและลำดับเบสในสายพันธุกรรม DNA ที่บกพร่อง ซึ่งไม่สามารถจะสร้างความสมดุลได้ด้วยกลไกเดี่ยวในระดับยีนเพียงเท่านั้น
ซึ่งทำหน้าที่ในการฆ่าเซลล์มะเร็งและทำให้เซลล์มะเร็งตายควบคุม การเติบโตของเนื้องอก ผ่านกลไกการทำงานของไซโตไคน์ต้านการอักเสบ คือ IL-10 และการสร้างสมดุลของ Microbiome
คือ cappase 8 และ cappsae 9 ทำให้เซลล์มะเร็งเกิดการตายการที่มีกลไกต่าง ๆ ที่หลากหลายเหล่านี้ร่วมกันออกฤทธิ์ทั้งระบบนั้น ผลทางคลินิกในผู้ป่วยจำนวนมากพบว่า ทำให้สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในร่างกายให้โตช้าลงและค่อย ๆ ตายไป
ซึ่งการศึกษาถึงกลไกทางชีวเคมีต่าง ๆ เหล่านี้ของสมุนไพร รวมถึงการศึกษาถึงความปลอดภัยของสมุนไพรนั้น ทางสหคลินิกได้รับความร่วมมือจากสถาบันการศึกษาหลายแห่ง เช่น ห้องปฏิบัติการชีวเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย รศ.ดร.เกียรติทวี ชูวงศ์โกมล และสถาบันส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ซึ่งงานวิจัยต่าง ๆ เหล่านี้บางเรื่องก็ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติแล้ว ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าภาคภูมิใจสำหรับคนไทย
ซึ่งกระบวนการออกฤทธิ์ของสมุนไพรนั้น จะเห็นได้ว่าเป็นกลไกแบบองค์รวม ซึ่งเป็นกลไกที่หลากหลายนับร้อยกลไก เปรียบเสมือนกองทัพที่ระดมจัดการกับซลล์มะเร็งทุกทิศทุกทาง ทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถดิ้นรนจนเกิดการกลายพันธุ์ได้เหมือนกับยากลไกเดี่ยวซึ่งเป็นกลไกของยาเคมี
นอกจากการใช้สมุนไพรแล้ว การรักษามะเร็งของศูนย์มะเร็ง ดร.ภัทร์ ยังได้ผสมผสานกับข้อแนะนำในด้านการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น อาหาร น้ำดื่ม การออกกำลังกาย การอดอาหาร 16-18 ชั่วโมง การพักผ่อนนอนหลับ การฝึกลมปราณและปัญญาสมาธิ การออกกำลังกายในรูปแบบที่สามารถทำให้ร่างกายสามารถแย่งชิงการใช้น้ำตาลกลูโคส กับเซลล์มะเร็ง ส่งผลให้เซลล์มะเร็งขาดอาหารและเจริญเติบโตช้าลง พร้อมกับการกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ร่างกาย ทำให้เกิดการฟื้นฟูร่างกายและเสริมระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งการใช้ปลิงบำบัด (Leech Therapy) เพื่อส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน การไหลเวียนและการนำพาสารสำคัญของสมุนไพรเข้าไปสู่เซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น
สหคลินิกสมุฎฐาน ยังเปิดรับรักษาโรคทั่วไป เช่น เบาหวาน ความดัน หลอดเลือด หัวใจ โรคเก๊าท์ รูมาตอยด์ โรคระบบภูมิคุ้มกัน sle โรคกล้ามเนื้อและกระดูก กระดูกทับเส้น ออฟฟิศซินโดรม ภาวะเสื่อมของดวงตาและการมองเห็น และโรคเรื้อรังชนิดอื่นๆ ทั่วไป